ความมั่นคงทางอาหารของอาเซียน: ปรับตัวคือคำตอบ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป แต่เป็นความจริงที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และที่สำคัญที่สุดคือ ความมั่นคงทางอาหาร ปี 2567 เป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ อุณหภูมิโลกพุ่งสูงเกิน 1.5°C จากระดับก่อนอุตสาหกรรมเป็นครั้งแรก การลดก๊าซเรือนกระจก (GHG) เป็นสิ่งสำคัญ แต่ การปรับตัว ก็เป็นสิ่งที่อาเซียนต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กัน
อาเซียนเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างไร?
แม้ว่าอาเซียนจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 5.73% ของโลก (โดยไทยปล่อย 0.83%) แต่ภูมิภาคนี้กลับได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากภัยแล้ง น้ำท่วม และการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ซึ่งทำให้ ผลผลิตทางการเกษตรลดลง และส่งผลต่อระบบอาหารโดยรวม
แนวทางปรับตัวเพื่อความมั่นคงทางอาหาร
1️ เกษตรอัจฉริยะเพื่อสภาพอากาศ (Climate-Smart Agriculture)
- ส่งเสริมพันธุ์พืชที่ทนต่อสภาพอากาศแปรปรวน
- ใช้เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำและปุ๋ย
2️ การกระจายความหลากหลายของพืชผล
- ปลูกพืชที่ทนแล้งและน้ำท่วม เช่น ข้าวฟ่าง และพืชตระกูลถั่ว
- พัฒนาห่วงโซ่อุปทานและเพิ่มปริมาณสินค้าคงคลังเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้า
3️ การบริหารจัดการที่ดินและน้ำอย่างยั่งยืน
- ปรับปรุงระบบชลประทานให้มีประสิทธิภาพ
- อนุรักษ์ป่าไม้ ป่าชายเลน และพื้นที่พรุ ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่สำคัญ
4️ พลังงานหมุนเวียนในการเกษตร
- ใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการผลิตและขนส่งอาหาร
- สนับสนุนเกษตรกรรายย่อยให้เข้าถึงเทคโนโลยีที่ยั่งยืน
อาเซียนควรมีบทบาทนำด้านการปรับตัว
ปี 2568 อาเซียนจะจัดการประชุมภายใต้ธีม "การรวมตัวและความยั่งยืน" ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการแสดงบทบาทผู้นำด้านความมั่นคงทางอาหารผ่านการปรับตัวต่อสภาพอากาศ นอกจากนี้ การประชุม COP30 ที่บราซิล จะเป็นเวทีสำคัญที่อาเซียนควรผลักดันแนวทางการจัดหาเงินทุน วิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการปรับตัว
ร่วมพูดคุยไปกับเรา
ที่ ExpresSo NB เรามุ่งมั่นสำรวจแนวทางที่ช่วยสร้างความยั่งยืนและเสริมความมั่นคงทางอาหาร คุณคิดว่าแนวทางใดจะได้ผลดีที่สุด?
อ้างอิง : https://fulcrum.sg/asean-food-security-climate-adaptation-as-urgent-as-mitigation/