สนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในวิกฤตภูมิอากาศ

การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศถือเป็นความท้าทายระดับโลกที่ส่งผลกระทบต่อทุกพื้นที่ทั่วโลก แต่ผลกระทบเหล่านี้กลับไม่กระจายตัวอย่างเท่าเทียม ประเทศกำลังพัฒนากลายเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ทั้งที่มีส่วนในการก่อปัญหาน้อยที่สุด ด้วยทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานที่จำกัด ประเทศเหล่านี้จึงต้องเผชิญกับวิกฤตที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่น ภัยธรรมชาติที่รุนแรง ความไม่มั่นคงทางอาหาร และปัญหาการขาดแคลนน้ำ

แม้จะมีการยอมรับถึงปัญหานี้จากประชาคมโลก และมีการให้คำมั่นต่างๆ ในเวทีประชุม เช่น การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP) แต่หลายคำมั่นสัญญายังคงไม่ถูกนำไปปฏิบัติ ทำให้ประเทศกำลังพัฒนายังคงต้องเผชิญกับความเปราะบางในระดับที่น่ากังวล


ความท้าทายเฉพาะหน้าที่ประเทศกำลังพัฒนาต้องเผชิญ

1. เหตุการณ์ภูมิอากาศรุนแรงที่เพิ่มขึ้น - ภัยธรรมชาติ เช่น พายุไซโคลน น้ำท่วม และภัยแล้ง เกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา ประเทศอย่างบังคลาเทศและโมซัมบิกที่เผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นประจำ ต้องสูญเสียชีวิต ทรัพย์สิน และโครงสร้างพื้นฐานอย่างมหาศาล ทำให้การฟื้นตัวหลังภัยพิบัติเป็นไปได้ยาก
2. ภาคการเกษตรที่เปราะบาง - หลายประเทศกำลังพัฒนาอาศัยเกษตรกรรมเป็นแหล่งรายได้หลัก แต่ระบบการเกษตรที่พึ่งพาน้ำฝนมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ความแปรปรวนของปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิที่สูงขึ้น และการระบาดของศัตรูพืช ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง ตัวอย่างเช่น ในแอฟริกาซับซาฮารา การขาดแคลนน้ำและความแห้งแล้งยาวนานสร้างปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหาร
3. ปัญหาการขาดแคลนน้ำ - น้ำเป็นทรัพยากรที่ขาดแคลนอยู่แล้วในหลายประเทศกำลังพัฒนา การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทำให้สถานการณ์แย่ลง เช่น การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการตกของฝนและการละลายของธารน้ำแข็ง ในภูมิภาคที่พึ่งพาน้ำจากธารน้ำแข็ง เช่น เอเชียใต้ การสูญเสียน้ำจากธารน้ำแข็งคุกคามความมั่นคงด้านน้ำ และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างชุมชน
4. ทรัพยากรที่จำกัดสำหรับการปรับตัว - ประเทศกำลังพัฒนาขาดแคลนทั้งทรัพยากรทางการเงิน เทคโนโลยี และกำลังคนสำหรับรับมือกับผลกระทบจากภูมิอากาศ การไม่มีระบบเตรียมพร้อมที่ดีทำให้การฟื้นตัวเป็นไปได้ยาก และส่งผลกระทบต่อการพัฒนาในระยะยาว

แนวทางแก้ปัญหา: เราจะช่วยได้อย่างไร

1. การสนับสนุนทางการเงิน - ความช่วยเหลือทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ทนต่อภัยธรรมชาติ และสนับสนุนมาตรการปรับตัว กองทุนภูมิอากาศสีเขียว (Green Climate Fund) ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนายกระดับระบบเศรษฐกิจให้มีความยั่งยืนและลดการปล่อยคาร์บอน แต่ทรัพยากรในกองทุนนี้ยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการ ประเทศพัฒนาแล้วควรให้การสนับสนุนที่แท้จริงและเพียงพอ
2. การถ่ายทอดเทคโนโลยี - การแบ่งปันเทคโนโลยีขั้นสูงสามารถช่วยประเทศกำลังพัฒนานำแนวทางที่ยั่งยืนมาปรับใช้ เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ที่มีแสงแดดจัด ความร่วมมือระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาจะช่วยเปิดโอกาสในการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ พร้อมทั้งสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
3. การพัฒนาทักษะและความรู้ในชุมชน - การเสริมสร้างความรู้และทักษะในชุมชนเป็นหัวใจสำคัญของการปรับตัว การฝึกอบรมด้านการเกษตรอย่างยั่งยืน การวางแผนเมืองที่รับมือภัยธรรมชาติ และการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ จะช่วยให้ชุมชนมีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น
4. การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทนต่อภัยธรรมชาติ - การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กำแพงกั้นน้ำท่วม ระบบจัดการน้ำ และถนนที่รองรับสภาพอากาศสุดขั้ว ไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องชุมชน แต่ยังช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วย

การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศไม่ใช่แค่ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม แต่เป็นปัญหาที่กระทบต่อมนุษยชาติ การสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาไม่เพียงแต่เป็นหน้าที่ทางศีลธรรม แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงให้กับโลกทั้งใบในระยะยาว หากประเทศที่เปราะบางสามารถฟื้นตัวและปรับตัวได้ โลกของเราก็จะมีความยั่งยืนมากขึ้น

เหมือนกับกาแฟช็อตเข้มที่เติมพลังให้เราในตอนเช้า การลงมือทำเล็กๆ แต่ต่อเนื่องในเรื่องภูมิอากาศ ก็สามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้

 

คุณคิดว่าการร่วมมือระดับโลกแบบใดจะช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนารับมือกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศได้ดีที่สุด?

 

อ้างอิง : The Ethiopian Herald December 25 /2024